facebook

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำไมควรใช้ PSU วัตต์แท้



" ข้อมูลทางทฤษฏี กับการใช้งานจริง มันอาจไม่ตรงกันก็ได้ครับ
และคำว่า วัตต์แท้ วัตต์เทียม ความจริงแล้วมันใช้สื่อความหมาย
ไม่ค่อยตรงกับประเด็นที่เราควรจะกังวลสักเท่าไหร่หรอกครับ

ออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่ช่างเทคนิค ผมไม่มีความรู้เฉพาะทางเรื่อง
ระบบไฟฟ้า จะได้เอาภาษาช่างมาอธิบายอะไรได้ สิ่งที่ผมจะอธิ
บายต่อไปนี้คือ ความรู้ที่ผมเก็บรวบรวมมาจากการอ่านเว็บ อ่าน
หนังสือ และจากแหล่งต่าง ๆ รายละเอียดปลีกย่อยทางเทคนิค
อาจจะไม่ตรงกับทฤษฏีเป๊ะ ๆ นะครับ

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเรื่องพื้นฐานเกี่ยวกันเพาเวอร์ฯ กัน
ก่อนนะครับ

PSU ที่ใช้กับคอมฯ แต่ละตัวนี่มันจะสามารถจ่ายไฟได้ ในช่วง
เฟส 12V ถึง 3.3V แต่ละเฟส จะถูกใช้โดยชิ้นส่วนแต่ละอย่าง
ในเครื่องแตกต่างกันไป เช่น

เฟส 12V จะถูกใช้โดย การ์ดจอ ซีพียู ฮาร์ดดิส
เฟส 3.3V จะถูกใช้โดยพวก อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ อย่างพัดลม
ไป LED USB ฯลฯ

"วัตต์" ที่จ่ายได้ของเพาเวอร์แต่ละตัวก็มาจากการเอา จำนวน
"แอมป์" แรงดันไฟที่่จ่ายได้แน่แต่ละเฟส มาคำนวณให้เป็นวัตต์
แล้วค่อยเอามาบวกรวมกัน

ดังนั้น เพาเวอร์ ที่วัตต์รวมเท่ากัน อาจใช้กับคอมเสปคเดียวกัน
ไม่ได้ ทุกตัวก็ได้ เพราะคอมที่ มีฮาร์ดดิสมาก ๆ มีการ์ดจอแรง
มีซีพียูเร็ว ๆ ก็ต้องการ เพาเวอร์ตัวที่ มี "แอมป์" 12V มาก ๆ

ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเช่น

Enermax 350 วัตต์ ที่จ่ายไฟ 12V ได้ 18A
กับ Deluxe 400 วัตต์ ที่จ่ายได้แค่ 12A

ถ้าเอาไปพ่วง ฮาร์ดดิสสักสามลูกกับ การ์ดจอ 6800GT (รุ่น
บริโภคไฟ) เครื่องที่ใช้ Deluxe อาจจะดับไปดื้อ ๆ เวลาเล่น
เกมส์ เพราะ เพาเวอร์จ่ายไฟให้ตอนเครื่องฟูลโหลดไม่พอครับ

แล้ววัตต์แท้ คืออะไร??

ถ้าคุณมีเพาเวอร์สองตัวที่จ่ายไฟได้ แอมป์เท่ากัน ได้วัตต์เท่ากัน
ตัวตัดสินคุณภาพของเพาเวอร์คุณคือ ความเสถียร ของกระแส
ไฟที่เพาเวอร์ป้อนเข้าเครื่องคุณครับ เพราะตามหลักการของการ
เปลี่ยนสภาพของพลังงาน ที่เราเรียนกันสมัย ม. ต้น ทุกครั้งที่
ไฟฟ้าแปลงสภาพเป็นพลังงานอื่น มันจะมีพลังงานบางส่วนที่
เสียเปล่าไป

ในการทำงานของ เพาเวอร์ฯ แต่ละตัวก็เช่นกัน ตลอดเวลา
ที่มันรับกระแสไฟจากเต้าปลั๊ก มาแปลงเป็นกำลังไฟ จ่ายให้
เฟสต่าง ๆ ในเครื่องคุณมันจะมีการสูญเปล่าเช่นนี้เกิดขึ้น

เพราะการสูญเปล่าที่ว่า ทำให้มันมีค่าเบี่ยงเบนเกิดขึ้น ทำให้
กำลังไฟที่จ่ายออกจากเพาเวอร์จริง ไม่ได้ตรงกับฉลาก
ร้อยเปอร์เซ็น อาจจะ80 85 90 ว่ากันไป และ เพราะการสูญ
เปล่าที่ว่า มันเกิดขึ้นตลอดเวลา มากบ้าง น้อยบ้าง ขึ้นอยู่กับ
กำลังการใช้ไฟของคอมฯ และประสิทธิภาพการระบายความ
ร้อนของเพาเวอร์ (เพราะการสูญเปล่า ที่เกิดขึ้นจะกลายเป็น
พลังงานความร้อน ถ้าเพาเวอร์คุมอุณหภูมิให้คงที่ได้ ความร้อน
ที่เกิดจากการสูญเปล่าฯ ก็จะคงที่ ถ้าไม่ได้ พลังงานที่เสียเปล่า
มันก็จะสูงขึ้นตามความร้อนที่ปล่อยออกมา) ทำให้กระแสไฟ ที่จ่ายได้ ไม่นิ่งสนิท มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่ตลอด

ซึ่งผู้ผลิตแต่ละเจ้าก็จะออกแบบสินค้าตัวเองในแต่ละระดับราคา
ให้มีค่าเบี่ยงเบนน้อยที่สุด และการจ่ายไฟนิ่งที่สุด

คำว่า วัตต์แท้ จึงเกิดขึ้น เพื่อบอกให้ผู้บริโภครู้ว่า กำลังไฟที่ได้
จากเพาเวอร์ตัวนี้ จะใกล้เคียงกับฉลาก และกระแสไฟที่ได้ จะ
นิ่งที่สุด ในทุกสภาวะการใช้งาน ไม่ใช่พอฟูลโหลดแล้วกำลังจะ
ตกเพราะไม่สามารถควบคุณการสูญเปล่าของพลังงานได้


ดังนั้น การจะเลือกเพาเวอร์ฯ สักตัวให้กับเครื่องของคุณ คุณต้อง
ดูอะไร?

1. จำนวน A ที่จ่ายได้ของไฟแต่ละเฟส ว่ามากพอจะรับมือกับ
ชิ้นส่วนทีคุณมีอยู่ในเครื่องได้หรือไม่? (ดูจากฉลากข้างกล่อง)

2. กำลังไฟที่จ่ายได้จริง หลังจากหักค่าเบี่ยงเบนระหว่างการใช้
งาน
ในสภาวะปรกติ (ดูจากฉลาก หรือผลทดสอบในเว็บต่าง ๆ)

3. ความเสถียร ในการจ่ายไฟในสภาวะ ที่เครื่องทำงานเต็ม
กำลัง(ดูจากผลทดสอบในเว็บต่าง ๆ)

ข้อ 1 เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่คุณควรจะดู เพราะอย่างที่ผม
อธิบายไปแล้วในชั้นต้นว่า เพาเวอร์ที่ให้วัตต์มาก แต่ให้แรงดัน
แอมป์ไม่พอจะเลี้ยงชิ้นส่วนสำคัญ ๆ ในเครื่อง จะทำให้เครื่อง
คุณเกิดปัญหาได้

ข้อ 2 และ 3 ขอให้พิจารณาเป็นปัจจัยรองลงไป ตามกำลังทรัพย์
ข้อมูลที่หาได้ และ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดนั่นคือ

" พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ใ ช้ ง า น ข อ ง คุ ณ เ อ ง "

เพราะแต่ละคนก็ใช้งานคอมหนักเบาไม่เหมือนกัน สำหรับคน
ที่ใช้เครื่องเสปคสูง มาทำงานเบา ๆ เป็นหลัก PSU ราคาถูก
ก็สามารถรับมือได้ราบรื่น เพราะ กำลังไฟที่ใช้ได้ ไม่ได้
ถูกเอามาใช้จนสุดตลอดเวลา

แต่ถ้าคนที่ใช้เสปคเท่ากัน แต่ใช้งานโหลด 7-80% ตลอด 6-7
ชั่วโมงต่อวัน ก็ควรพิจารณาเพาเวอร์ ที่ให้กำลังไฟ และความ
เสถียรสูง ๆ เพื่อความปลอดภัยในการทำงานของคุณ

ดังนั้นคงจะเข้าใจแล้วนะครับว่า ที่คนในบอร์ดเขาแนะนำให้ใช้
วัตต์แท้ ราคาแพง ก็เพราะเขาไม่รู้ว่าพฤติกรรมการใช้งานของ
คุณอยู่ที่ระดับไหน ถ้าแนะนำของถูก กำลังแอมป์พอใช้ให้ไป
แต่คุณเอาไปตัดต่อหนัง ทำงานทั้งวันแล้วเครื่องพัง เขาก็ไม่
สามารถไปแก้ไขอะไรให้คุณได้ ก็เลยต้องเผื่่อทุกอย่างไว้
ก่อนเสมอ


Ghost auto Driver

วันนี้งานโกสของเราก็มาถึงไตรภาคแล้วน่ะครับ ...งานนี้ต้องขอบคุณท่านกฤษน่ะครับผู้ที่เป็นคนริเริ่มให้มีบทความทางด้านนี้ขึ้น ทำให้เกิดประโยชน์มหาศาลต่อเพื่อนๆสมาชิกและไม่ได้เป็นสมาชิก เพราะบทความเรื่องนี้ค่อนข้างน้อยมาก หาศึกษาได้ยากพอควร ผมเองได้สืบทอดเจตนารมณ์ของท่านกฤษเป็นผู้เขียนบทความขึ้น ก็ไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรจากเพื่อนๆสมาชิกหรอกครับ ท่านกฤษเคยพูดเสมอว่า "อยากเห็นงานโกสหลากหลาย" ตั้งแต่หลังสงกรานต์จนมาถึงบัดนี้ ก็ยังไม่ค่อยมีงานโกสใหม่ๆออกมาให้เห็นเลย.... 027
(ปัจจุบัน 2553 ออกมาเยอะแล้วครับ ขอบคุณทุกๆท่านครับที่ได้นำเอาอุดมการณ์นี้ไปเผยแพร่ต่อ)

หลังจากบทความเรื่อง "ปิดตำนาน Ghost auto driver ภาค 2 ภาคปฎิบัติ" ออกไปแล้ว และท่านทั้้งหลายก็ได้เรียนรู้และได้ศึกษาทำให้บรรลุวัตถุประสงค์บ้างไม่สำเร็จบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะพื้นฐานและประสบการณ์กับเรื่องคอมฯ ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ของแต่ล่ะท่านนั้นแตกต่างกัน... แต่ผมเชื่่อว่า ถ้าท่านตั้งใจและไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค ต้องมีสักวันที่ทำได้ครับ และขอยินดีกับท่านทั้งหลายที่ทำสำเร็จแล้ว...และเอาใจช่วยกับท่านที่ยังทำไม่สำเร็จ ให้สู่ต่อไป จนกว่าจะประสบความสำเร็จครับ

"เรื่องปิดตำนาน "Ghost auto Driver" ภาค 3 ภาคปฎิบัติ (สมบูรณ์ที่สุด) นี้"
สืบเนื่องมาจากภาค 2 ที่เพื่อนๆสมาชิก ทั้งหลายยังมีข้อกังขา สังสัยและข้องใจอยู่ วันนี้ผมจึงมีบทที่ 3 ขึ้้น เพื่อคลายความสงสัยเหล่านั้น

การทำโกส all chip,main ให้ประสบความสำเร็จมากที่สุดมีทั้งหมดอยู่ 9 อย่างครับ ที่ผมนำมาเสนอให้ทุกท่่านเห็นน่าจะมี 4 อย่างแล้วล่ะครับ และตัวท้ายสุดที่ผมนำมาให้ท่านได้ศึกษากันก็คือ Ghost win7 (spat) ตัวนี้มีคุณสมบัติพิเศษกว่าใครอื่น คือสามารถ Ghost ได้ทั้ง windows xp,vista และ windows 7 ท่านมีของดีอยู่แล้วครับ แต่ท่านไม่ดึงความสามารถออกมาใช้เอง
จึงทำให้ไม่เกิดประโยชน์สูงสุด...

โปรแกรมนี้ผมขอเรียกว่า Ghost win7 น่ะครับ ชื่อย่อ คือ SPAT เมื่อเรานำไปเปิดกับ Windows 7 ก็จะมีหน้าตาอีกอย่าง แต่ถ้าเรานำไปเปิดกับ windows xp ก็จะได้หน้าตาโปรแกรมอย่างที่ท่านเห็นอยู่ด้านล่างนี้แหละครับ

หมายเหตุ: ลงโปรต่างๆให้ครบตามความชอบใจครับ ยกเว้นไดร์ฟเวอร์ไม่ควรลงครับผม จากนั้นเตรียมขั้นตอนการโกสเลยครับ

การใช้งานและการตั้งค่า ทำตามตัวอย่างด้านล่างนี้ ครับ
โหลดโปรแกรมก่อนเลยครับ

2.ดาวโหลด ไดร์ฟเวอร์ Part 1 , Part2





















สุดท้ายนี้ขอบคุณท่านกฤษเว็บมาสเตอร์ ทีมงานแอดมินทุกท่านและเหล่าเพื่อนสมาชิกหรือไม่ใช้สมาชิกทุกท่านครับ ที่เข้ามาอ่านบทความนี้

สงสัย ติดขัดตรงไหน อย่างไร ถามตอบกันในกระทู้น่ะครับ และขอความร่วมมือกับเพื่อนๆสมาชิกที่ทำได้แล้ว ...ช่วยกลับมารายงานผลด้วยครับผม
เครดิต gggcomputer ครับ


VGA Card หรือ Display Adapter


มีหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณ digital ให้เป็นสัญญาณภาพ โดยมี Chip เป็นตัวหลักในการประมวลการแปลงสัญญาณ ส่วนภาพนั้น CPU เป็นผู้ประมวลผล แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีการประมวลผลภาพนั้น VGA card เป็นผู้ประมวลผลเองโดย Chip นั้นได้เปลี่ยนเป็น GPU (Grarphic Processing Unit) ซึ่งจะมีการประมวลภาพในตัว Card เองเลย เทคโนโลยีนี้เป็นที่แพร่หลายมากเนื่องจากราคาเริ่มปรับตัวต่ำลงมาจากเมื่อก่อนที่เทคโนโลยีนี้เพิ่งเข้ามาใหม่ๆ โดย GPU ค่าย Nvidia เป็นผู้ริเริ่มการลุยตลาด

หลักการทำงานพื้นฐานของการ์ดแสดงผลจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อโปรแกรมต่างๆ ส่งข้อมูลมาประมวลผลที่ ซีพียูเมื่อซีพียูประมวลผล เสร็จแล้ว ก็จะส่งข้อมูลที่จะนำมาแสดงผลบนจอภาพมาที่การ์ดแสดงผล จากนั้น การ์ดแสดงผล ก็จะส่งข้อมูลนี้มาที่จอภาพ ตามข้อมูลที่ได้รับมา การ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาส่วนใหญ่ ก็จะมีวงจร ในการเร่งความเร็วการแสดงผลภาพสามมิติ และมีหน่วยความจำมาให้มากพอสมควร

หน่วยความจำ
การ์ดแสดงผลจะต้องมีหน่วยความจำที่เพียงพอในการใช้งาน เพื่อใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่ได้รับมาจากซีพียู และสำหรับการ์ดแสดงผล บางรุ่น ก็สามารถประมวลผลได้ภายในตัวการ์ด โดยทำหน้าที่ในการ ประมวลผลภาพ แทนซีพียูไปเลย ช่วยให้ซีพียูมีเวลาว่ามากขึ้น ทำงานได้เร็วขึ้น
เมื่อได้รับข้อมูลจากซีพียูมาการ์ดแสดงผล ก็จะเก็บข้อมูลที่ได้รับมาไว้ในหน่วยความจำส่วนนี้นี่เอง ถ้าการ์ดแสดงผล มีหน่วยความจำมากๆ ก็จะรับข้อมูลมาจากซีพียูได้มากขึ้น ช่วยให้การแสดงผลบนจอภาพ มีความเร็วสูงขึ้น และหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงก็ยิ่งดี เพราะจะมารถรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น ยิ่งถ้าข้อมูล ที่มาจากซีพียู มีขนาดใหญ่ ก็ยิ่งต้องใช้หน่วยความจำที่มีขนาดใหญ่ๆ เพื่อรองรับการทำงานได้โดยไม่เสียเวลา ข้อมูลที่มี ขนาดใหญ่ๆ นั่นก็คือข้อมูลของภาพ ที่มีสีและความละเอียดของภาพสูงๆ

ความละเอียดในการแสดงผล
การ์ดแสดงผลที่ดีจะต้องมีความสามารถในการแสดงผลในความละเอียดสูงๆ ได้เป็นอย่างดี ความละเอียดในการแสดงผลหรือ Resolution ก็คือจำนวนของจุดหรือพิเซล (Pixel) ที่การ์ดสามารถนำไป แสดงบนจอภาพได้ จำนวนจุดยิ่งมาก ก็ทำให้ภาพที่ได้ มีความคมชัดขึ้น ส่วนความละเอียดของสีก็คือ ความสามารถในการแสดงสี ได้ในหนึ่งจุด จุดที่พูดถึงนี้ก็คือ จุดที่ใช้ในการแสดงผล ในหน้าจอ เช่น โหมดความละเอียด 640x480 พิกเซล ก็จะมีจุดเรียงตามแนวนอน 640 จุด และจุดเรียงตามแนวตั้ง 480 จุด
โหมดความละเอียดที่เป็นมาตราฐานในการใช้งานปกติก็คือ 640x480 แต่การ์ดแสดงผลส่วนใหญ่ สามารถที่จะแสดงผลได้หลายๆ โหมด เช่น 800x600, 1024x768 และการ์ดที่มีประสิทธิภาพสูงก็จะ สามารถแสดงผลในความละเอียด 1280x1024 ส่วนความละเอียดสก็มี 16 สี, 256 สี, 65,535 สี และ 16 ล้านสีหรือมักจะเรียกกันว่า True color

อัตราการรีเฟรชหน้าจอ
การ์ดแสดงผลที่มีประสิทธิภาพ จะต้องมีอัตราการรีเฟรชหน้าจอได้หลายๆ อัตรา อัตราการรีเฟรชก็คือ จำนวนครั้งในการกวาดหน้าจอ ใหม่ในหนึ่งวินาที ถ้าหากว่าอัตรารีเฟรชต่ำ จะทำให้ภาพบนหน้าจอ มีการกระพริบ ทำให้ผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ เกิดอาการล้า ของกล้ามเนื้อตา และอาจทำให้เกิดอันตราย กับดวงตาได้ อัตราการรีเฟรชในปัจจุบันอยู่ที่ 72 เฮิรตซ์ ถ้าใช้จอภาพขนาดใหญ่ อัตรารีเฟรชยิ่งต้องเพิ่มมากขึ้น อัตรารีเฟรชยิ่งมากก็ยิ่งดี


Norton Ghost โปรแกรมช่วย แบคอัพฮาร์ดดิสก์ เก็บไว้เผื่อยามฉุกเฉิน





Norton Ghost โปรแกรมช่วย แบคอัพฮาร์ดดิสก์ เก็บไว้เผื่อยามฉุกเฉิน

ครั้งหนึ่ง สมัยที่ผมเองหัดใช้งาน Windows ช่วงแรก ๆ ก็ซนพอสมควร มีการลองของคือ ทดลองลงโปรแกรมต่าง ๆ เดี๋ยวใส่ เดี๋ยวเอาออก ไม่นานเท่าไรนัก Windows ตัวเก่งก็เพี้ยนไปเลย ต้องมาลง Windows ใหม่อีก เรียกได้ว่าต้องลง Windows ใหม่ทุกสัปดาห์เลยก็ว่าได้ เป็นอย่างนี้อยู่ค่อนข้างนานพอสมควร ในสมัยนั้นผมเองก็คิดหาวิธีที่จะทำการ copy ตัวซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เก็บไว้เป็นแบคอัพสำรองเอาไว้ เพื่อที่เวลามีปัญหา จะได้นำเอาไฟล์ที่ทำแบคอัพนั้นมาใช้งาน จนกระทั่งมาพบกับโปรแกรม Norton Ghost ที่มีความสามารถเก็บข้อมูลทั้งหมดใน พาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์ ไว้ได้แบบที่เรียกว่า ทุกกระเบียดนิ้วเลยทีเดียว อีกทั้งตัวโปรแกรมก็ทำงานบน DOS ซึ่งเป็นการทำงานที่ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก และสามารถทำงานหลังจากที่ทำการ ฟอร์แม็ต ฮาร์ดดิสก์ ได้ทันที ใช้เวลาในการทำ แบคอัพ และนำกลับคืนไม่นานมากนัก ดังนั้น จึงขอแนะนำให้ท่านที่มีฮาร์ดดิสก์ ที่มีพื้นที่เหลือมากพอ หลังจากที่ทำการลง Windows ใหม่และติดตั้งซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ทำการเก็บแบคอัพข้อมูลและ Windows เก็บไว้ ครั้งต่อไป หากมีปัญหาที่ตัว Windows ก็จะได้ไม่ต้องมาทำการลงโปรแกรมใหม่ทั้งหมดครับก่อนอื่น ต้องหาโปรแกรม Norton Ghost นี้มาใช้งานกันก่อน ลองดูจาก http://www.symantec.com/ นะครับ โปรแกรมจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก หลังจากดาวน์โหลดมาแล้วก็ให้ทำการ unzip และเขียนไฟล์ ใส่แผ่นดิสก์ไว้ก่อน จากนั้น จะบูตเครื่องจากแผ่นดิสก์ที่ได้นี้ หรือจะ copy เฉพาะไฟล์ ghost.exe เก็บไว้ใน โฟล์เดอร์ต่างหาก เพื่อที่จะใช้งานโดยตรงเลยก็ได้

ทำความเข้าใจกับฮาร์ดดิสก์ในเบื้องต้นก่อน

ก่อนการใช้งาน Norton Ghost อยากจะให้ทำความเข้าใจ ระบบการเก็บข้อมูลและการแบ่งพาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์ กันก่อน เพราะตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ หากเราไม่เข้าใจและทำโดยใส่ไดร์ฟหรือพาร์ติชันผิด ข้อมูลต่าง ๆ อาจจะหายไปทั้งหมดเลยก็ได้ ดังนั้น ขอให้พยายามศึกษาคำว่า Drive และ Partition ให้เข้าใจจริง ๆ ก่อน

Drive ในที่นี้หมายถึง ตัวฮาร์ดดิสก์ คือ ในคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องสามารถที่จะทำการติดตั้ง ไดร์ฟต่าง ๆ ได้หลาย ๆ ตัวเช่น Drive A: คือฟลอปปี้ดิสก์ Drive C: คือฮาร์ดดิสก์ตัวแรก ส่วน Drive D: คือซีดีรอม เป็นต้น สำหรับกรณีของฮาร์ดดิสก์ จะมีพิเศษกว่านั้น คือเราสามารถทำการแบ่งฮาร์ดดิสก์ 1 ตัวให้เป็นหลาย ๆ ไดร์ฟได้ เช่น ฮาร์ดดิสก์ 1 ตัวแต่ถูกแบ่งออกเป็น Drive C: และ Drive D: โดยที่ซีดีรอม ก็จะกำหนดให้เป็น Drive E: แทนเป็นต้น

Partition ก็คือการแบ่งพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ ออกเป็นหลาย ๆ ไดร์ฟ หรือเรียกว่าการแบ่งเป็นหลาย ๆ Partition นั่นเอง จากตัวอย่างข้างบน คือ เราสามารถที่จะแบ่งฮาร์ดดิสก์ 1 ตัวออกเป็นได้หลาย ๆ พาร์ติชัน หรือแบ่งออกเป็นหลาย ๆ ไดร์ฟนั่นเอง ทีนี้ ลองสำรวจเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่กันก่อน ว่ามีฮาร์ดดิสก์ติดตั้งอยู่กี่ตัว และมีการแบ่งการใช้งานหรือแบ่งพาร์ติชัน ต่าง ๆ ออกเป็นอย่างไรบ้าง อย่างเช่นฮาร์ดดิสก์ของเครื่องที่ผมใช้งาน มี 1 ตัวแต่แบ่งออกเป็น 2 พาร์ติชัน ดังนั้น ในระบบ Windows เครื่องผมก็จะมองเห็นว่ามีไดร์ฟ C: กับ D: เป็นฮาร์ดดิสก์ ส่วนซีดีรอม ก็จะเป็นไดร์ฟ E: แทน ที่ต้องให้ทำความเข้าใจกับเรื่อง Drive และ Partition ตรงนี้ก่อน ก็เพราะว่า ในการใช้งาน Norton Ghost จะต้องมีการอ้างถึงสองคำนี้ และเพื่อเป็นการป้องกัน การผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จากการใส่หรือระบุ Drive หรือ Partition ผิดครับ

ฮาร์ดดิสก์ที่จะทำแบคอัพได้ ต้องเป็นอย่างไร

จากที่ได้บอกแล้วว่า การใช้งาน Norton Ghost นี้จะเป็นการทำสำรองหรือแบคอัพข้อมูลทั้งพาร์ติชัน ของฮาร์ดดิสก์ ดังนั้น ฮาร์ดดิสก์หรือคอมพิวเตอร์ที่จะทำการแบคอัพแบบนี้ได้ จะต้องมีการแบ่งพาร์ติชัน ออกเป็นอย่างน้อย 2 พาร์ติชัน หรือจะต้องมีไดร์ฟ อยู่ในเครื่องอย่างน้อย 2 ไดร์ฟนั่นเอง ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ก็คือ เราจะทำการเก็บทุกอย่างใน Drive C: นำเอาไปเก็บไว้ใน Drive D: เพื่อที่จะได้ทำการฟอร์แมต Drive C: ได้ หลังจากนั้น ก็ทำการนำข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ใน Drive D: มาใส่คืนใน Drive C: ใหม่ หรือที่เรียกว่าการ Restore นั่นเอง ดังนั้น หากใครมีฮาร์ดดิสก์แค่เพียง Drive C: ตัวเดียว คงจะต้องเริ่มต้นวางแผน การจัดแบ่งพาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์ กันใหม่ก่อนนะครับ อย่างน้อยที่สุดก็ควรที่จะแบ่งออกเป็น 2 ไดร์ฟ เพื่อใช้สำหรับลง Windows ไดร์ฟหนึ่ง และอีกไดร์ฟที่เหลือก็สำหรับเก็บข้อมูลและไฟล์ที่จะทำแบคอัพด้วย Norton Ghost ด้วย หากเครื่องใครที่คิดว่าพร้อมแล้ว ก็เริ่มต้นทดลองใช้งานกันได้เลย

เริ่มต้นเรียกใช้งานโปรแกรม Norton Ghost

หลังจากที่หา ดาวน์โหลด มาแล้วก็ทำการ unzip และเก็บไว้ในโฟลเดอร์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ จะได้ไฟล์ GHOST.EXE ซึ่งในการใช้งาน จะต้องทำใน MS-DOS Mode เท่านั้น วิธีการเข้า DOS Mode ทำได้โดยการสั่ง Shutdown และเลือกที่ Restart in MS-DOS mode หรือเมื่อบูทเครื่องใหม่ กดปุ่ม F8 ค้างไว้และเลือกที่ MS-DOS mode หรือจะเป็นการบูทเครื่องจากแผ่น Startup Disk Windows 98 ก็ได้ หลังจากเข้า MS-DOS mode แล้วก็ใช้คำสั่งเปลี่ยนโฟลเดอร์ไปที่ ๆ เก็บโปรแกรม Norton Ghost เรียก ghost และกด Enter จะมีโลโก้ของโปรแกรม กดที่ปุ่ม OK เพื่อเริ่มต้นการใช้งาน

การทำแบคอัพหรือทำสำเนาฮาร์ดดิสก์เก็บไว้

ขั้นตอนแรก คือการทำแบคอัพเก็บไว้ก่อน โดยการเรียกโปรแกรม Norton Ghost และกดที่ OK เพื่อเริ่มต้นการทำงาน จะเห็นเป็นเมนูต่าง ๆ ให้เลือก

ในการทำแบคอัพเก็บข้อมูล หลังจากเรียกโปรแกรมแล้ว ให้เลือกที่เมนู Local >> Partition >> To Image (ใช้ปุ่มลูกศรซ้ายขวา และกด Enter เพื่อเลือก) คือเป็นการสั่งให้ทำกับ Partition ให้สร้างเป็น Image ไฟล์เพื่อเก็บไว้ใช้งาน (Image คือไฟล์แบคอัพ ที่จะเก็บข้อมูลทั้งหมดของฮาร์ดดิสก์ครับ) กดปุ่ม Enter เพื่อเลือกการทำ Partition to Image ครับ

ทำการเลือก Drive ที่ต้องการจะทำแบคอัพสำรองข้อมูล คือ Drive ที่ 1 นั่นเอง (ตัวอย่างนี้มีฮาร์ดดิสก์ 1 ตัวในเครื่องนี้) ใช้ปุ่ม Tab เพื่อเลื่อนปุ่มไปที่ OK และกด Enter (กดที่ปุ่ม Tab ไปเรื่อย ๆ เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของการกดปุ่มได้)

จากนั้นทำการเลือก Partition ของ Drive ที่ต้องการจะทำแบคอัพ เช่นในที่นี้มีอยู่ 2 partition (คือ C: กับ D: นั่นเอง) ให้เลือกที่ Partition 1 คือ Drive C: และเลือกที่ OK (โดยกดปุ่ม Tab สำหรับเปลี่ยนตำแหน่งการกดปุ่มนะครับ)

จากนั้น เลือกชื่อไฟล์ของ Image file ที่จะเก็บเป็นข้อมูลไว้ เช่น win98th หรืออะไรก็ได้ กดที่ Open เพื่อทำงานต่อไป

ภาพตัวอย่างขณะที่โปรแกรมกำลังทำการก็อปปี้หรือทำแบคอัพครับ รอจนจบก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการแบคอัพแล้ว ซึ่งเราจะได้ไฟล์ win98th.gho หรือชื่อไฟล์ตามที่เราตั้งไว้ ที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ เก็บสำรองไว้



การนำข้อมูลที่เก็บไว้มาใช้งานใหม่หรือที่เรียกว่า Restore

หลังจากนี้ หากวันดีคืนดี Windows มีอันต้องเป็นไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากเราต้องการที่จะนำเอาข้อมูลและโปรแกรมต่าง ๆ ที่ได้ทำการสำรองเก็บไว้ออกมาใช้เหมือนเดิม วิธีการก็จะคล้าย ๆ กันคือ เรียกโปรแกรม Norton Ghost ก่อน (จาก MS-DOS mode นะครับ)

ในการนำข้อมูลกลับมา หลังจากเรียกโปรแกรมแล้ว ให้เลือกที่เมนู Local >> Partition >> From Image คือเป็นการนำเอา Image file มาใส่ลงใน Partition นั่นเอง

เลือกไฟล์ที่ต้องการจะนำข้อมูลมาใช้งาน แล้วเลือกกดที่ Open

ถ้าหากฮาร์ดดิสก์ที่เลือกใส่ข้อมูลกลับลงไปมีหลายพาร์ติชัน ให้ทำการเลือก Partition ที่ต้องการ เช่น Drive C: ก็คือ Partition ที่ 1 นั่นเอง กดที่ OK

โปรแกรมจะมีการถามเพื่อยืนยันการทำงานอีกครั้ง หากมั่นใจว่าไม่มีอะไรใส่ผิดก็กดที่ Yes เพื่อเริ่มต้นการนำข้อมูลจาก Image file มาใส่ลงใน Partition ได้เลยครับ หลังจากที่โปรแกรมทำการก็อปปี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในกรณีเช่นนี้จะต้องทำการ Restart Computer ใหม่เสมอ หากไม่มีอะไรผิดพลาด เราก็จะได้ Windows ตัวเดิมเมื่อครั้งที่ยังไม่มีปัญหากลับคืนมาเหมือนเดิมครับ

ข้อควรระวังอย่างมากคือ การเลือก Drive และ Partition เพราะหากทำผิด Partition อาจจะทำให้ข้อมูลต่าง ๆ หายได้ ดังนั้น ก่อนที่จะทำ ควรจะทำการสำรองข้อมูลที่สำคัญมาก ๆ เก็บไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลนะครับ

นอกจากนี้ หากลองดูให้ดี ๆ ในเมนูต่าง ๆ จะเห็นว่า เราสามารถที่จะทำการ โคลนนิ่งระหว่างฮาร์ดดิสก์ 2 ตัวได้เลย โดยการเลือกที่ในเมนู Drive ซึ่งจะทำให้การ copy ข้อมูลทุกอย่างในฮาร์ดดิสก์ ไปใส่ไว้ในฮาร์ดดิสก์อีกตัวหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว วิธีนี้ ร้านค้าที่ประกอบคอมพิวเตอร์ขายนิยมใช้กันมาก เพราะใช้เวลาไม่เกิน 20 นาทีก็สามารถลงโปรแกรมต่าง ๆ ในฮาร์ดดิสก์ของเครื่องลูกค้าได้แล้ว หากใครมีเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆ ชุดที่มีอุปกรณ์ต่าง ๆ เหมือนกัน โดยเฉพาะตามร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ต่าง ๆ ที่มักจะมีปัญหากับซอฟต์แวร์ต่าง ๆ บ่อย ๆ (เนื่องจากมีผู้ใช้งานหลายคน) ก็สามารถที่จะทำการ โคลนนิ่งฮาร์ดดิสก์โดยวิธีนี้ได้ด้วยนะครับ

จั้มเปอร์(Jumper)

จั้มเปอร์(Jumper)

เชื่อหรือไม่? เพิ่มศักยภาพให้คอมพ์ได้ง่าย ๆ ผ่าน Jumper Dip Switch สะพานไฟแห่งชีวิตคอมพ์ของคุณ สิ่งที่หลายคนกลัวนักหนากำลังจะถูกเปิดเผย ความจริง...

วันเวลาผ่านไปเทคโนโลยีก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคอมพิวเตอร์มีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก หลายคนเลือกที่ซื้ออุปกรณ์ คอมพิวเตอร์มาประกอบเอง หรือให้ทางร้านประกอบให้ แทนที่จะซื้อจากบริษัทขายคอมพิวเตอร์ Brandname ปัญหาที่ตามมาคือเราจะประกอบอุปกรณ์แต่ละชิ้นเข้าไป ได้อย่างไร? หรือในกรณีที่ร้านค้าประกอบให้เรา เคยคิดบ้างไหมว่าร้านค้านั้นประกอบให้เราถูกต้องหรือเปล่า ? ประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เราแล้วสามารถดึง ประสิทธิภาพออกมาเต็มที่หรือเปล่า ? บ่อยครั้งที่ผมเองก็พบว่าช่างที่ร้านติดตั้งตัว Jumper บนเมนบอร์ดผิด สับ Dip Switch ผิด อันจะเกิดจากช่างไม่มีประสบการณ์ หรือหลงลืมไปชั่วขณะก็ไม่อาจทราบได้ แต่สุดท้ายก็ผิดไปแล้ว

Jumper & Dip Switch อุปกรณ์น่าสะพรึงกลัว

ผมเชื่อได้เลยว่าเพื่อน ๆ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Jumper, Dip Switch มาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่เข้าใจว่า เซ็ตอย่างไร หรืออาจจะไม่กล้าไปยุ่งกับมัน อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเลย และจำเป็นมาก ๆ ที่เราจะต้องรู้ไว้บ้าง พวก Jumper, Dip Switch ต่าง ๆ เหล่านี้จริง ๆ มีหน้าที่สำหรับกำหนดการทำงาน ของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้ทำหน้าที่ต่างกันออกไป จะเห็นตัวอย่างหน้าที่ชัดเจนก็บน เมนบอร์ดรุ่นหนึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้มี FSB (Font Side Bus) ความเร็วเท่าไร 66,100,133 MHz จะให้ตัวคูณ (Multiple) ของ CPU เท่าไร ? เพื่อให้เมนบอร์ด รุ่นนั้น ๆ สามารถรองรับการทำงานของ CPU ได้มากที่สุด แล้วก็เป็นหน้าที่ของช่าง หรือเราเองที่จะต้องมานั่งเซ็ตให้ตรงกัน นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ในวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องที่เกี่ยวกับพวก Jumper ต่าง ๆ ที่อยู่บน เมนบอร์ด, Hard Drive , CD-ROM Drive กันว่าสามารถเซ็ตอะไรได้บ้าง



Jumper บน เมนบอร์ด

เมนบอร์ดถือว่าเป็นส่วนที่มี Jumper ให้เซ็ตติดตั้งอยู่มากพอสมควร เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ พยายามจะลดความยุ่งยากในส่วนนี้จึงพยายาม ทำเทคโนโลยีที่เรียกว่า "Jumper Less" คือมี Jumper ให้น้อยที่สุดหรือ ไม่มีเลย แล้วย้ายการเซ็ตค่าต่าง ๆ ไปเป็นส่วน Software หรือบน Bios ที่เรียกว่า "Soft Menu" เพื่อให้ผู้ใช้งานยังคงสามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้ จากเดิมที่รูปร่างหน้าตาของ Jumper เป็นขาทองแดงแล้วใช้พลาสติกเล็ก ๆ ซึ่งข้างในมีแผ่นโลหะเป็นตัวเชื่อม เมนบอร์ดบางรุ่นก็เปลี่ยนมาเป็น Dip Switch ที่ปรับแต่งได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า และดูไม่น่ากลัวแทน วิธีการเซ็ต Jumper ส่วนใหญ่จะเป็นการเชื่อมขาทองแดงเข้าด้วยกัน ซึ่งต้องอาศัยตัวเชื่อมที่เป็นลักษณะพลาสติกตัวเล็ก ๆ ที่ข้างในจะเป็นทองแดง เป็นสื่อให้ขาทองแดงทั้งสองเชื่อมถึงกัน และพลาสติกรอบข้างทำหน้าที่เป็น ชนวนป้องกันไม่ให้ทองแดงไปโดนขาอื่น ๆ

ส่วนวิธีการเซ็ต Dip Switch ก็ง่าย ๆ ให้เรานึกถึง Switch ไฟธรรมดาที่มีการปิดและเปิด ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้ง Jumper และ Dip Switch นั้นต่างมีจุดมุ่งหมายเหมือนกันตรงที่ทำงานเปรียบเสมือน Switch ธรรมดา มีสภาวะเปิดและปิด (Open and Close) เพื่อให้การเชื่อมและตัดวงจรนั้นเป็นตัวบอกให้เมนบอร์ด รู้ว่าเราต้องการให้ทำงานอย่างไร

อันที่จริงแล้วเวลาเราจะเช็ท Jumper หรือ Dip Switch เราจำเป็นต้องอ่านคู่มือเมนบอร์ดให้ดี ๆ ก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่าเรากำลังจะเซ็ตอะไร เซ็ตตรงไหน อย่างไร และได้ค่าอะไรนะครับ ภาพด้านข้างนี้เป็นตัวอย่าง Layout ของเมนบอร์ดของ Soltek SL-75JV บนเมนบอร์ดที่สำคัญ ๆ หลัก ๆ ที่เราต้องเซ็ตก็คือเรื่องของ FSB (Font Side Bus) และ Multiple ของ CPU เพื่อให้เมนบอร์ดทำงานสอดคล้องกับ CPU ที่เรานำมาติดตั้ง จากตัวอย่างทั้งสองส่วนนี้เป็นการเซ็ตแบบ DIP Switch ซึ่ง SW1 เป็นการเซ็ต FSB (Font Side Bus) และ SW2 เป็นการเซ็ต Multiple (ตัวคูณ) ตามคู่มือเมนบอร์ดเป็นดังตารางที่ 1 และ 2 เมนบอร์ดที่นำมาเป็นตัวอย่างนี้รองรับการทำงาน CPU ตระกูล AMD เพราะฉะนั้นหากผมต้องการนำเอา CPU Athlon Thunderbird ความเร็ว 850 MHz มาติดตั้งบนเมนบอร์ดรุ่นนี้ผมต้องเซ็ต SW1 CPU Clock = 100 MHz ซึ่งต้องปรับ DIP 1-5 บน SW1 เป็น Off On Off Off On ตามลำดับ ส่วน SW2 ต้องเลือก Multiple 8.5x เพราะฉะนั้นต้องเซ็ต DIP 1-4 บน SW2 เป็น Off Off On Off




มีการเซ็ต Jumper หนึ่ง ที่เราน่าจะรู้ไว้ว่าอยู่ตรงส่วนไหนของเมนบอร์ด คือ การ Clear CMOS Data เอาไว้เวลาที่เรา Update CMOS Version ใหม่ ๆ หรือ

ว่าหากเกิดปัญหาจากการที่เราเข้าไป Set ค่าต่าง ๆ ใน BIOS แล้วทำให้ BOOT ไม่ได้ เราจะได้ใช้ Jumper Clear CMOS DATA ทำการ Clear ค่าต่าง ๆ ใน BIOS ให้กลับไปอยู่ในสภาวะเริ่มต้นเหมือนค่าที่ถูกเซ็ตจากโรงงานนะครับ สำหรับเมนบอร์ดรุ่นนี้ตัว Jumper นี้จะอยู่ที่ JBAT1 ดังรูป

สภาวะปกติตัว Jumper จะเชื่อมอยู่ที่ขา 1-2 หากเราต้องการ Clear CMOS Data เราต้องย้าย Jumper มาที่ 2-3 แต่อย่าลืมนะครับว่าต้องทำการย้าย Jumper ขณะปิดเครื่อง และตามคู่มือบอกว่าแค่เราย้ายมาก็จะ Clear CMOS แล้วไม่ต้องเปิดเครื่อง จากนั้นทำการย้ายกลับไปยัง 1-2 แล้วทำงานตามปกติ

Jumper บน Hard Drive และ CD-ROM Drive

หน้าที่หลัก ๆ ของ Jumper ใน Hard drive และ CD-Rom Drive ก็คือการเซ็ตว่า Drive นั้นเป็น Master หรือ Slave หลาย ๆ คนอาจจะเริ่มงงว่าอะไร Master อะไร Slave จะขออธิบายคร่าว ๆ ดังนี้นะครับว่าปัจจุบัน Drive จำพวก Hard Drive และ CD-Rom Drive นั้นจะมีมาตรฐานการต่อแบบ IDE ซึ่งบนเมนบอร์ดส่วนใหญ่จะมีช่องต่อ IDE สองช่องซึ่งเรียกว่า Primary และ Secondary แต่ละช่องก็จะต่อ Drive ได้ 2 Drive นั้นหมายความว่าเครื่องโดยทั่วไปจะสามารถใส่ Hard drive และ CD-Rom Drive รวมกัน 4 ตัว เนื่องจาก 1 ช่อง IDE สามารถต่ออุปกรณ์ได้ 2 ตัวนี้แหละครับที่ทำให้เราต้องมานั่งเซ็ตว่าจะให้ตัวไหนเป็น Master ตัวไหนเป็น Slave แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็กำหนดต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยังสามารถ ใช้พื้นฐานความรู้ในการเซ็ตเดียวกันได้ สำหรับฮาร์ดดิสก์และไดรฟ์ CD-Rom นั้น ผู้ผลิตมักจะระบุการเซ็ตค่ามาให้ บนตัวมันเอง ใกล้ ๆ กับจุดที่เซ็ตอยู่แล้ว และการดูก็ไม่ยากเท่าไหร่ เพียงแต่ท่านต้อง เข้าใจคำว่า Master กับ Slave เท่านั้น ส่วนค่าอื่น ๆ ที่เห็น เช่น Cable Select นั้น จะเป็นการใช้งานแบบพิเศษกับ สายเคเบิ้ล จะเกิดอะไรหากเราเซ็ตไม่ถูกต้อง หรือเซ็ตอุปกรณ์ 2 ตัวมาชนกันเอง คำตอบคืออุปกรณ์ไม่ถึงกับเสียหายหรอกครับ แค่เครื่องของเราก็จะมองไม่เห็นว่า เราได้ติดตั้งตัว Drive นั้นไปแล้วเท่านั้นเอง พอเราเซ็ตใหม่ให้ถูกต้องทุกอย่างก็จะ กลับมาเป็นเหมือนเดิมครับ ไม่ต้องกลัวกับการเซ็ต Jumper พวกนี้นะครับ

สรุป

เรื่องราวของ Jumper ที่จริงก็คือ ส่วนที่ช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานได้หลากหลายหน้าที่ ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ในเมนบอร์ดส่วนใหญ่จะเป็นการเซ็ตว่าขณะนี้ต้องการนำเอา CPU อะไรมาติดตั้ง จะให้ Disable/Enable ความสามารถต่าง ๆ ในเมนบอร์ดไม่ว่าจะเป็น Sound On Board, Vga On Board หรือจะเป็นการ Clear CMOS Data ส่วนใน Drive ชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Hard drive , CD-ROM Drive จะเป็นการกำหนดบทบาทหน้าที่ ส่วนในอุปกรณ์อื่น ๆ นั้น เราอาจจะเห็นการเซ็ต Jumper ได้ใน Card Interface บางประเภท

ทั้งนี้ทั้งนั้นการเซ็ตค่าต่าง ๆ ต้องอาศัยคู่มือประกอบ เพราะว่าแต่ละอุปกรณ์ แต่ละโรงงานก็จะออกแบบมาไม่เหมือนกัน เซ็ตผิดพลาดก็อาจจะทำให้อุปกรณ์นั้นใช้งานไม่ได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่น่าจะทำให้ถึงกับเสียหายอะไร เพราะทางโรงงานผู้ผลิตต้องเผื่อเหตุการณ์นี้ไว้อยู่แล้ว ขอให้เซ็ตให้ถูกต้องอุปกรณ์ก็น่าจะใช้งานได้ ดังนั้น ไม่ต้องกลัวนะครับของอย่างนี้ ถ้าเราอ่านคู่มือเข้าใจดีแล้วก็ลุยเลยครับ